หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วัคซีนในสุนัข



การทำวัคซีน
การทำวัคซีนจะช่วยป้องกันลูกรักของเราให้ปลอกจากโรคที่อันตรายได้ มีโรคติดเชื้อที่ร้ายแรงหลายโรคที่เกิดขึ้นในสุนัขและไม่สามารถรักษาได้ บางโรคสามารติดต่อถึงคนได้ แนวทางที่ดีที่สุดที่ไม่ให้เกิดโรคขึ้นกับเจ้าตูบที่แสนน่ารักของเรา คือ การปลูกภูมิคุ้มกันโรค หรือที่เรารู้จักกันว่า "การฉีดวัคซีนป้องกันโรค" เนื่องจากมีโรคของสุนัขหลายโรคที่พบได้ในประเทศไทย ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดโปรแกรมการฉีดวัคซีนดังกล่าว ทั้งนี้การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอาจจะมีความยุ่งยากสำหรับเจ้าของเลย

โรคหวัดและหลอดลมอักเสบติดต่อ(Kennel Cough Syndrome) ตอนอายุ 4-6 สัปดาห์ กระตุ้นซ้ำที่
10-14 สัปดาห์

โรคลำไส้อักเสบติดต่อ(Canine Parvovirus) ตอนอายุ 4-6 สัปดาห์ กระตุ้นซ้ำที่ 10-14 สัปดาห์

โรคไข้หัด ตับอักเสบและเลพโตสไปโรซิส (Canine Distemper, Infectious Hepatitis and Leptospirosis) ตอนอายุ 14-6 สัปดาห์ กระตุ้นซ้ำที่อายุ 10-14 สัปดาห์

โรคพิษสุนัขบ้า(Rabies) ตอนอายุ 12 สัปดาห์ กระตุ้นซ้ำที่อายุ 6 เดือน

หมายเหตุ

ควรงดการอาบน้ำ 7 วันหลังการฉีดวัคซีน
ควรถ่ายพยาธิเมื่อลูกสุนัขอายุ 3-4 สัปดาห์ และทุก 6 เดือน

โรคที่สำคัญในสุนัข

1.โรคพิษสุนัขบ้า(Rabies)
สาเหตุ: Rhabdo virus
การติดต่อ:สามารถติดต่อสู่คนเรา ( Zoonoses )สัตว์เลือดอุ่นโดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเป็นโรคนี้ได้ เชื้อไวรัสนี้มีอยู่ในน้ำลายสัตว์ที่กำลังป่วย จะติดต่อสัตว์อื่นหรือคน โดยการกัด น้ำลายถูกแผลหรือสัมผัสเยื่อเมือกอ่อนที่บุช่องต่างๆของอวัยวะในร่างกายระยะเวลาหลังจากสัตว์หรือ คนได้รับเชื้อถึงแสดงอาการไม่แน่นอน ตั้งแต่1-2สัปดาห์ เป็นหลายเดือนถึงเป็นปี เมื่อสัตว์แสดงอาการป่วยจะแพร่เชื้อทางน้ำลายได้ และสัตว์จะตายภายใน8วันหลังแสดงอาการ แต่เคยพบว่า สามารถตรวจพบเชื้อในน้ำลายได้ก่อนที่สัตว์จะแสดงอาการ 3-7วัน ดังนั้นสัตว์ป่วยจึงสามารถแพร่โรคทางน้ำลายได้ไม่เกิน 15 วันก่อนตาย
อาการ: จะไม่แน่นอนขึ้นกับระยะของโรคจะแบ่งเป็น
1.อาการระยะตื่นเต้น จะเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อการเคี้ยวและกลืน หางตก ลำตัวแข็ง ระยะนี้จะแสดงอาการในช่วง 1-5 วัน
2.อาการระยะอัมพาต จะพบอาการอัมพาตจากส่วนท้ายลำตัวไปยังส่วนหัวอย่างรวดเร็ว สัตว์จะตายเพราะว่าเกิดอัมพาตของระบบหายใจ ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2-3วัน
การป้องกัน:
1.ฉีดวัคซีนให้กับสุนัขและแมวที่มีเจ้าของ
2.การลดจำนวนและการกำจัดสุนัขไม่มีเจ้าของ
3.การป้องกันในคนโดย เฉพาะในกรณีหลังการสัมผัสโรค
4.การสุขศึกษาและประชาสัมพันธ์

2.โรคลำไส้อักเสบติดต่อในสุนัข(Canine Viral Enteritis ,CVE)

โรคลำไส้อักเสบติดต่อในสุนัข ถือว่าเป็นเป็นโรคติดต่อร้ายแรงมากในกลุ่มสุนัขด้วยกัน
สาเหตุ: Canine corona virus และ Canine parvo virus
การติดต่อ: อุจจาระของสุนัขป่วย เป็นช่องทางของการติดโรคมากที่สุด เชื้อนี้มีความคงทนในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมได้หลายเดือน
อาการ: สุนัขจะซึมมาก อาเจียน ไม่กินอาหาร ระยะท้ายๆ จะถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด กลิ่นเหม็นคาวจัด สุนัขอยากจะกินแต่น้ำ ส่งผลทำให้เกิดการอาเจียนรุนแรงขึ้น สุนัขอายุน้อยจะมีโอกาสตายสูงมากหากดูแลไม่ถูกต้อง
การป้องกัน/รักษา:
1.การให้วัคซีนป้องกันโรคดีที่สุด ต้องมีการฉีดกระตุ้นหลายครั้ง เพราะการฉีดเพียงครั้งเดียว อาจให้ภูมิคุ้มโรคไม่เพียงพอ
2.การแยกเชื้อไวรัสหรือการตรวจหาเชื้อจากห้องปฏิบัติการ1-2 ครั้ง
3.แม่สุนัขที่มีภูมิคุ้มโรคนี้ สามารถถ่ายทอดสู่ลูกสุนัขได้โดยผ่านรก และทางน้ำนมแรกคลอด
4.การใช้ยาปฏิชีวนะ ประกอบการรักษา ใช้ในวัตถุประสงค์ ที่จะควบคุมการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเท่านั้น

3.โรคไข้หัดสุนัข(Canine Distemper)

เป็นโรคติดต่อในสุนัข เมื่อป่วยแล้วจะรักษาให้หายได้ยากหรือแทบจะไม่มีโอกาสเลย
สาเหตุ: เกิดจาก Canine distemper virus
การติดต่อ: ที่สำคัญผ่านทางระบบหายใจ จากไวรัสในละอองของสิ่งคัดหลั่ง ในน้ำมูก น้ำลาย และขี้ตา ผ่านทางรกได้ ไม่พบการติดต่อโดยการกิน
อาการของโรค: สุนัขป่วยจะมีไข้สูง ไม่กินอาหารหรือกินน้อย มีขี้มูกขี้ตาเกราะกรัง มีตุ่มหนองใต้ท้องระยะแรก บางตัวอาจมีอาการชักน้ำลายเป็นฟองฟูมปาก ชักรุนแรง มีอาการงับปากติดๆกัน อาการรุนแรง อาจตายใน 1-2สัปดาห์ แต่บางตัวอาจพบว่าป่วยเรื้อรังนานเป็นเดือน ใต้ฝ่าเท้าจะหนาและแข็งตัวขึ้น ร่างกายจะซูบผอมลงไปเรื่อยๆและตายในที่สุด อย่างไรก็ตามสุนัขบางตัวอาจหายป่วยได้แต่โอกาสจะน้อยมาก
การป้องกัน/รักษา:
1.ป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรียหรือโรคอื่น ๆ โดยเลือกใช้ยาปฎิชีวนะที่เหมาะสมให้เร็วที่สุด
2.การทำวัคซีนป้องกันโรคตามโปรแกรม
3.รักษาตามอาการ เช่นถ้ามีอาการชักให้ยาแก้ชักทันทีการ รักษาพยุงอาการโดยการเลือกให้สารน้ำที่เหมาะสม ร่วมกับวิตามินที่ละลายน้ำ และอาหารที่มีโปรตีนสูงหรือโปรตีนสกัด

4.โรคตับอักเสบติดต่อสุนัข( Infectious Canine Hepatitis)
พบได้ในสุนัขทุกช่วงอายุ แต่พบได้บ่อยที่สุด ในสุนัขอายุน้อยกว่า 1 ปี โรคนี้ไม่ติดต่อไปยังคน และไม่เกี่ยวข้องกับโรคตับอักเสบของคน
สาเหตุ: เกิดจาก Canine Adenovirus-1
การติดต่อ: โดยการกินและการสัมผัสโดยตรงกับเชื้อไวรัส ที่ขับออกมากับ น้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ และปัสสาวะ หรือเชื้อที่ปนเปื้อนกับ เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ เข็มฉีดยา แต่เชื้อนี้ไม่ติดต่อโดยการหายใจ
อาการของโรค: สุนัขป่วยจะมีไข้สูง แสดงอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด และมักตายภายใน 24 ชั่วโมง รายรุนแรงน้อย จะซึม เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องแข็งตึง อุจจาระเหนียวสีโคลน กลิ่นเหม็นจัดหรือมีเลือดปน พบสภาพดีซ่านได้
การป้องกัน/รักษา:
1.การให้วัคซีนตามโปรแกรม
2.ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ รักษาตามอาการ เพื่อพยุงสุขภาพเท่านั้น โดยการให้สารน้ำ( fluid therapy ) ที่เหมาะสม ร่วมกับยาปฏิชีวนะวงกว้าง (ชนิดไม่เป็นพิษต่อตับ)

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปอมเมอเรเนียน



ความเป็นมา
เริ่มกันมาตั้งแต่สมัยสายแรกๆที่ดังๆ ชื่อว่า Hadleigh, Paddockwood (สายทางอังกฤษ) ซึ่งปอมในสมัยก่อนนั้น ขาจะค่อนข้างเล็ก ขน 2 ชั้นออกแนวขนชั้นนอก (หยาบ มากกว่า)
ซึ่งทางไต้หวัน และ ญี่ปุ่น ก็นำ สาย ฮัดเล่ย์ นี้ไปบรีดต่อ (ตอนนี้ปอมทางญี่ปุ่น ยังเป็นสไตล์เก่าอยู่) ส่วนทาง อเมริกา กับ แคนาดา ก็นำไปพัฒนาต่อเช่นกัน แล้วพัฒนาออกมาได้ดี เป็นที่นิยม กระดูกเค้าใหญ่ขึ้น ขนชั้นในแน่นขึ้น ตัวสั้น กระชับ กระบอกปากเค้าใหญ่ขึ้น แล้วขนหน้าเยอะ ทำให้ดูเหมือน หมี เลยเรียกกันว่า ปอมหน้าหมี (Teddy face) แต่หากดูตามหลักมาตรฐานสายพันธ์ที่ถูกต้องจริงๆ ต้องหน้า Fox Face ค่ะ Fox ที่สวยคือ มองจากด้านหน้าแล้ว จากมุมหางตาทั้ง 2 ข้างมาถึงปลายจมูก เป็น 3 เหลี่ยมด้านเท่าค่ะ แต่คนส่วนใหญ่มักจะชอบ หน้าหมี เพราะมันน่ารักค่ะ ซึ่งรวมถึงเราด้วย อิอิ
สายทางแคนาดา คอกที่ดังๆ ก็มี Chriscendo (เป็นคอกที่ดังมากๆค่ะ เป็นสายที่คุณหมอโดม และคอก Tokie นำเข้ามาพัฒนาค่ะ แล้วผสมกับสายอื่นๆ บรีดกันมา พัฒนามาเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จ) ลองเข้าไปดูเวบเค้านะคะ http://www3.ns.sympatico.ca/chriscendo/ มีพ่อพันธ์สวยเยอะมากๆค่ะ ในเมืองไทยมีสายเลือดของสายทาง Chriscendo ค่อนข้างเยอะค่ะ
สาย Bavanew ( คุณหมอโดมนำสายนี้เข้ามา พัฒนาร่วมกับสายอื่นค่ะ ตัวที่ดังมากๆก็คือ Timmy พ่อของมะยมหยี สุดยอดพ่อพันธ์ ของปอมในเมืองไทยเลยก็ว่าได้ สายดีๆ คอกดังๆในเมืองไทย ส่วนใหญ่แล้วแทบจะมี Pak Dome's Everytime อยู่ในสายด้วยทั้งนั้นเลยค่ะ) สาย Sunterra , Windmist, Foxworth (สายที่ทาง Powerpom นำเข้ามาค่ะ) ฯลฯ ค่ะ
สายทางเมกา
จะมีเยอะมากๆค่ะ คอกที่ดังมาตั้งแต่สมัยก่อน (ถ้าได้ดูในใบ pedigree ของสายปอมรุ่นก่อนๆล่ะก้อ จะมีสาย Great Elms, Tim Sue, Millamor, Bi-Mar, Glen-Iris, Finch (ปอมสีดำ สายนี้ดังมากๆค่ะ), Starfire, ถึงปัจจุบัน คอกในเมกา มีเยอะมากๆ Star Haven, Wee Heart, Valcopy, Showcase, Jan-Shar, Lennette ฯลฯ คอกในเมืองไทย นำเข้าแชมป์ดังๆเข้ามาเยอะทีเดียวค่ะ ตอนนี้ลูกหลานปอม สวยๆไปโหม้ดดดเลย
ปอมตัวใหญ่มาจากไหน จริงๆแล้วเมื่อสมัยก่อนเลย ปอมมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบันค่ะ เพราะสืบเชื้อสายมาจาก Spitz ถ้าดูตามสายพันธ์เลย จะมีอยู่ 5 พันธ์ค่ะ ที่มีลักษณะคล้ายๆปอมแต่ไซส์แตกต่างกันไป
เริ่มจากใหญ่สุด ที่ Keeshond คีชอนด์, Giant German Spitz, Spitz Mittel, Spitz Klein, แล้วก็มาปอมค่ะ เพราะฉะนั้นในตัวปอม ก็ยังมีเชื้อสายที่ยังใหญ่อยู่ ซึ่งเมื่อก่อน สายยังไม่ค่อยนิ่ง คือ ในบรรดาลูก ก็สามารถมีหลุด ตัวใหญ่กว่า ออกมาด้วยได้ แต่ปัจจุบันนี้ สายของคอกที่มีคุณภาพในไทย สายค่อนข้างนิ่งแล้วค่ะ
ซึ่งตรงนี้รวมไปถึง เมื่อก่อน ผู้เพาะพันธ์บางคนก็ชอบปอมตัวเมียที่ใหญ่ๆ เนื่องจากสามารถให้ลูกได้เยอะ โดยไม่ได้คำนึงมาตรฐานสายพันธ์ ก็เพาะลูกหลานออกมาขาย รวมไปถึง (คำบอกเล่า) ว่าบางทีก็นำปอมไปผสมกับสปิตซ์ เพื่อที่จะได้ลูกเยอะๆค่ะ แล้วตามคอกเล็กๆหรือบ้านทั่วไปที่เลี้ยงเล่น คงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ด้วย เช่น ตัวนงเอง เมื่อก่อนไม่ได้ศึกษา นงก็อยากได้ลูกของปอมที่บ้าน เพราะอยากให้มันมีลูก ไม่ได้คำนึงถึงสายเลย เพราะเราไม่ได้ประกวดอะไร พอเราเอา แม่ปอมของเราไปผสมกับพ่อพันธ์เล็กๆ ลูกที่ออกมา ก็ได้ไซส์เล็กมากว่าเดิมค่ะ บางคอกที่ประหยัดงบก็ใช้วิธีเอาสายตัวเมียที่พอใช้ได้ ผสมพ่อพันธ์ดีๆไปทีละรุ่นๆให้เล็กลงไปเรื่อยๆ แต่ยีนต์ตัวโต ยังไงก็ยังมีแฝงอยู่ในสายเลือดค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะไปแสดงผลที่รุ่นไหนเท่านั้นเอง
ปอมปอม ต่าง จาก Spitz ตรงไหน
ความจิงแล้วสายพันธุ์ Spitz นั้นถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของสุนัขหลากหลายๆพันธุ์เลยก็ว่าได้ค่ะ ถึงแม้บางพันธุ์อาจจะดูไม่เหมือน Spitz เลยก็ตาม เช่น Akita Inu, ตระกูล Husky ทั้งหลาย, Basenji, บางแก้ว, Papillon, ฯลฯ
ส่วนสุนัขที่พัฒณามาจาก Spitz แล้วยังคงมีขนที่ยาว ฟูฟ่อง นั้นก็แบ่งออกเป็นหลายพันธุ์อยู่เหมือนกันค่ะ เช่น American Eskimo Dog, Chow Chow, German Spitz, Japanese Spitz, Keeshond, Samoyed, Pomeranian, ฯลฯ
Spitz ที่หน้าตาเหมือน Pomeranian ก็คงจะมี Japanese Spitz กับ German Spitz ค่ะ...
ก่อนอื่นบอกก่อนนะค่ะว่า German Spitz ยังมีแบ่งเป็น 5 สายพันธุ์ค่ะและหนึ่งในนั้นคือ Pomeranian
(ทำให้ส่วนตัวคิดว่าน้อยนักที่จะมีการผสม ปอม กับ เยรมัน สปริสต์)

Wolfspitz (Keeshond)
Grossespitz/Großspitz ("Great / Giant Spitz")
Mittelspitz ("Middle (Medium/Standard) Spitz")
Kleinspitz ("Small Spitz")
Zwergspitz ("Dwarf Spitz", Pomeranian)
ส่วนใหญ่ที่เห็นผสม Spitz แล้วคนพูดถึงกันเยอะจะเป็นปอมขาว ซึ่งจะผสมกะ Japanese Spitz เพราะปอมขาวนั้นเป็นยีนส์ด้อยทำให้โอกาสที่จะบรีดได้ปอมสีขาวบริสุทธิ์นั้นมีน้อยมากๆ ทำให้ปอมขาวแท้ๆมีราคาสูงและหาสวยๆได้ยากมากๆ แล้วเพราะ Japanese Spitz มีสีขาวล้วนและตัวขนาดใหญ่กว่าปอมไม่มาก ทำให้มีการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อที่จะได้ลูกสุนัขที่หน้าตาเหมือนน้องปอมสีขาว แล้วนำมาขายราคาสูงๆแพงๆค่ะ การจะแยกระหว่า ลูกปอม กับ ลูกJapanese Spitz ก็ทำได้ยากค่ะเพราะเด็กๆหน้าตาค่อนข้างเหมือนกัน ถ้าเอารูปมาเทียบกันก็พอจะดูออกค่ะ เพราะJapanese Spitz มีขนากตัวที่ใหญ่กว่า ใบหูใหญ่แหลมกว่า กระบอกปากใหญ่ยาวกว่า ขนไม่ฟูเท่าปอม หางม้วนไม่พาดกลางหลัง เป็นต้น